สำนักข่าว ai llm โยนงานที่แสนน่าเบื่อทิ้งไปได้เลย! ด้วย AI Agent System ผู้ช่วย AI สุดเจ๋งที่จะเข้ามาทำงานแทนคุณแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูล
AI Agent คืออะไร, ผู้ช่วย AI อัจฉริยะ, AI ทำงานแทน, ระบบ AI อัตโนมัติ, เอไอแจกฟรี, ผู้ช่วยส่วนตัว AI, เทคโนโลยี AI ใหม่ล่าสุด, Agentic AI, ปัญญาประดิษฐ์สุดเจ๋ง, โปรแกรมทำงานอัตโนมัติI
ที่มา: https://kubbb.com/idx_1751149560โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น ถามเรื่อง LLM กับ Content Clustering เนี่ยนะ เอาจริงดิ! นึกว่าอยากรู้แค่ว่า AI มันจะมาแย่งงานทำคอนเทนต์เมื่อไหร่ซะอีก กลายเป็นว่าอยากจะจัดระเบียบชีวิตดิจิทัลด้วยซะงั้น เอาเถอะ มาก็มา... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาดูกันว่าเจ้าพวกโมเดลภาษาใหญ่มหึมาน่ะ มันจะช่วยให้กองเอกสารออนไลน์อันเละเทะของคุณดูเป็นทรงเป็นร่างขึ้นมาได้ยังไงบ้าง จะว่าไปก็เหมือนพยายามสอนให้มนุษย์จัดบ้านแหละเนอะ ยากหน่อย แต่อาจจะพอไหว
เอาล่ะ มาทำความรู้จักกับพระเอกนางเอกของเรากันก่อนนะ LLM หรือ Large Language Models เนี่ย มันก็เหมือนสมองกลที่ถูกฝึกมาให้เข้าใจและสร้างภาษาของมนุษย์ได้แบบเนียนกริบ พูดง่ายๆ คือมันอ่านเยอะจนรู้ไปหมดทุกเรื่อง (ยกเว้นว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบโพสต์รูปอาหารตอนดึกๆ) ส่วน Content Clustering น่ะเหรอ ก็เป็นเทคนิคที่เหมือนนักจัดสวนมืออาชีพ ที่คอยตัดแต่ง กรอง และจัดกลุ่มต้นไม้ใบหญ้าให้เป็นระเบียบสวยงามในสวนเดียวกัน ทีนี้พอสองอย่างนี้มารวมกันนะ มันก็เหมือนมีผู้ช่วยอัจฉริยะที่อ่านคอนเทนต์ทั้งหมดของคุณ แล้วบอกได้เลยว่า "นี่! อันนี้มันพวกเดียวกันนะ เอาไปไว้ด้วยกันสิ จะได้ไม่รก" มันช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมด เข้าใจว่ามีหัวข้ออะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกัน และจะพัฒนาต่อยอดไปในทิศทางไหนได้อีกบ้าง ไม่ใช่แค่มีคอนเทนต์เยอะๆ แต่ไม่รู้จะไปทางไหนต่อไงล่ะ เข้าใจปะ?
อืมม์... คำถามนี้ก็ดีนะ ประมาณว่า "มีของเยอะๆ ไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน" สินะ ก็ไม่ผิดซะทีเดียวหรอกนะ แต่ถ้ามีของเยอะแล้วมันรก จัดการไม่ได้ แถมลูกค้าก็หาอะไรที่ต้องการไม่เจอ แบบนี้มันจะเรียกว่ามีของเยอะได้ไง? นั่นมันเรียกว่า "สุมกองขยะ" มากกว่า! Content Clustering มันช่วยแก้ปัญหานี้ไง มันเหมือนการจัดหมวดหมู่หนังสือในห้องสมุดน่ะ ลองคิดดูดิ ถ้าหนังสือทุกเล่มมันวางปนเปกันไปหมด จะหาเล่มที่อยากอ่านเจอไหม? คงต้องนั่งไล่ทีละเล่มจนปวดหัวตายก่อนแน่ๆ การจัดกลุ่มเนื้อหาด้วย LLM ก็เหมือนกัน มันช่วยให้:
1. ค้นหาและเข้าถึงง่ายขึ้น: พอเนื้อหาถูกจัดกลุ่มอย่างเป็นระบบ คนอ่านก็หาข้อมูลที่ต้องการได้เร็วขึ้น ไม่ต้องงมหาให้เสียเวลา เหมือนมีป้ายบอกทางชัดเจนว่า "หมวดสุขภาพอยู่ที่นี่" "หมวดเทคโนโลยีไปทางนั้น"
2. เพิ่มประสิทธิภาพ SEO: เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ชอบเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างเนื้อหาชัดเจน เข้าใจง่าย การทำ Content Clustering ช่วยให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณเชี่ยวชาญเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ทำให้จัดอันดับได้ดีขึ้นไงล่ะ (นี่แหละที่พวกนายอยากรู้สินะ)
3. สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น: เวลาที่คนเข้ามาอ่านคอนเทนต์แล้วเจอข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว ได้อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันต่อเนื่อง พวกเขาก็จะประทับใจ อยากกลับมาอีกไง ดีกว่าเข้ามาแล้วเจอแต่ข้อมูลกระจัดกระจาย แล้วก็กดออกไปเฉยๆ น่าเสียดายแย่
4. ระบุช่องว่างของเนื้อหา: เมื่อเห็นภาพรวมของเนื้อหาที่ถูกจัดกลุ่มแล้ว เราจะเห็นได้ชัดเลยว่ามีหัวข้อไหนบ้างที่เรายังขาด หรือหัวข้อไหนที่สามารถแตกแขนงออกไปได้อีก ทำให้วางแผนการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ได้อย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น ไม่ใช่ทำไปเรื่อยๆ แบบไร้ทิศทาง
5. ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา: บางทีเราอาจจะเผลอเขียนเรื่องเดียวกันซ้ำๆ ในหลายๆ บทความ การทำ Clustering จะช่วยให้เห็นภาพนี้ และสามารถรวมหรือปรับปรุงเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกันให้มีคุณภาพมากขึ้นได้
เห็นไหมล่ะ ว่ามันไม่ได้มีดีแค่ "มีเยอะ" แต่มันมีดีที่ "มีระบบ" ด้วย เข้าใจยัง?
อ๋อ อยากรู้ว่าเบื้องหลังมันทำงานยังไงสินะ? ก็เหมือนกับที่ฉันต้องมานั่งอธิบายอะไรที่มันน่าจะรู้กันเองได้นั่นแหละ LLM น่ะ มันมีความสามารถในการวิเคราะห์ "ความหมาย" ของข้อความ ไม่ใช่แค่คำศัพท์ที่ปรากฏ แต่รวมถึงบริบท ความสัมพันธ์ และหัวข้อหลักที่ซ่อนอยู่ ลองนึกภาพว่า LLM คือนักวิจารณ์วรรณกรรมอัจฉริยะที่อ่านนิยายทั้งหมดในห้องสมุด แล้วจับกลุ่มเรื่องที่เกี่ยวกับความรัก เรื่องที่เกี่ยวกับสงคราม เรื่องที่เกี่ยวกับผจญภัย อะไรแบบนั้นแหละ
B: การวิเคราะห์ความหมายและบริบท (Semantic Analysis)
LLM จะอ่านคอนเทนต์ทุกชิ้นของคุณ แล้วทำความเข้าใจว่าแต่ละชิ้นพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ มันจะมองข้ามแค่คำว่า "แมว" หรือ "สุนัข" ไป แต่จะเข้าใจถึง "การดูแลสัตว์เลี้ยง", "สายพันธุ์สุนัขยอดนิยม", "วิธีฝึกแมวให้เข้ากระบะทราย" หรือ "ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในสัตว์เลี้ยง" ซึ่งเป็นหัวข้อที่กว้างกว่า
B: การหาความสัมพันธ์ของหัวข้อ (Topic Modeling & Relationship Extraction)
หลังจากเข้าใจความหมายแล้ว LLM จะเริ่มหาว่าคอนเทนต์ไหนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมีนัยสำคัญ เช่น บทความเกี่ยวกับ "สูตรทำเค้กช็อกโกแลต" อาจจะมีความสัมพันธ์กับบทความเกี่ยวกับ "อุปกรณ์เบเกอรี่ที่ต้องมี" หรือ "เทคนิคการอบขนมให้ขึ้นฟู" LLM สามารถระบุความสัมพันธ์เหล่านี้ได้ แม้ว่าคำที่ใช้ในแต่ละบทความจะต่างกันก็ตาม
B: การสร้างกลุ่มเนื้อหา (Cluster Formation)
เมื่อได้ข้อมูลความสัมพันธ์แล้ว LLM จะใช้อัลกอริทึมในการจัดกลุ่มคอนเทนต์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน โดยแต่ละกลุ่มจะมีแกนหลักหรือหัวข้อกลางที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น กลุ่มหนึ่งอาจจะเป็น "การตลาดดิจิทัลสำหรับ SME" ซึ่งรวมบทความเกี่ยวกับ SEO, Social Media Marketing, Content Marketing, Email Marketing ไว้ด้วยกัน
B: การระบุ Cluster Leader หรือ Hub Content
ในแต่ละกลุ่ม LLM ยังสามารถช่วยระบุได้ว่าบทความไหนมีความสำคัญที่สุด หรือเป็นเหมือน "ศูนย์กลาง" ของกลุ่มนั้น บทความเหล่านี้มักจะเป็นบทความที่ครอบคลุมเนื้อหาได้ดีที่สุด หรือมีความเชื่อมโยงกับบทความอื่นๆ ในกลุ่มมากที่สุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงให้เป็นเนื้อหาหลัก (Pillar Content) ที่แข็งแกร่ง
แค่นี้ก็พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่ามันไม่ได้วิเศษวิโสอะไรนักหนา แค่ฉลาดกว่ามนุษย์บางคนเท่านั้นเอง (ฉันพูดเอง!)
เอาล่ะ ถ้ายังไม่ถอดใจไปซะก่อน ก็มาดูขั้นตอนแบบคร่าวๆ ที่จะทำให้คุณพอจะเข้าใจได้ว่าต้องทำอะไรบ้างนะ จะได้ไม่มานั่งงงทีหลังว่า "ทำไมของฉันไม่เห็นเหมือนของคนอื่นเขาเลย!"
B: รวบรวมและเตรียมข้อมูล (Data Collection & Preparation)
อันดับแรก ก็ต้องมี "วัตถุดิบ" ก่อน คือคอนเทนต์ทั้งหมดที่คุณมีนั่นแหละ จะเป็นบทความในเว็บไซต์, โพสต์ในบล็อก, หรือแม้กระทั่งเอกสารภายในองค์กรก็ได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลสะอาด ไม่มีอะไรแปลกปลอมปะปนมา เช่น โค้ด HTML ที่รกตา หรือข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น
B: เลือกใช้เครื่องมือหรือโมเดล LLM ที่เหมาะสม (Choosing the Right LLM Tool/Model)
เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือและโมเดล LLM มากมายที่สามารถช่วยงานนี้ได้ ตั้งแต่ API ของผู้ให้บริการรายใหญ่ ไปจนถึงไลบรารีโอเพนซอร์ส หรือแม้กระทั่งเครื่องมือสำเร็จรูปที่ออกแบบมาเพื่อการทำ Clustering โดยเฉพาะ เลือกให้เหมาะกับงบประมาณ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และขนาดของข้อมูลของคุณด้วยนะ อย่าเลือกอะไรที่มันเกินตัว จนต้องมานั่งปวดหัวทีหลัง
B: ประมวลผลและวิเคราะห์เนื้อหา (Content Processing & Analysis)
ใช้ LLM ที่เลือกมาประมวลผลคอนเทนต์ทั้งหมด เพื่อดึงเอาหัวข้อหลัก ความหมาย และความสัมพันธ์ของแต่ละชิ้นออกมา ขั้นตอนนี้อาจจะต้องมีการปรับแต่งพารามิเตอร์ของโมเดลบ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
B: สร้างกลุ่มและจัดระเบียบ (Clustering & Organization)
นำผลลัพธ์จากการวิเคราะห์มาใช้อัลกอริทึม Clustering เพื่อจัดกลุ่มคอนเทนต์ แต่ละกลุ่มควรจะมีธีมหรือหัวข้อหลักที่ชัดเจน คุณอาจจะต้องกำหนดจำนวนกลุ่มที่ต้องการ หรือปล่อยให้โมเดลตัดสินใจเองก็ได้ แล้วแต่ว่าคุณอยากจะควบคุมมากน้อยแค่ไหน
B: ตรวจสอบและปรับปรุง (Review & Refinement)
ขั้นตอนนี้สำคัญมาก! อย่าเพิ่งเชื่อผลลัพธ์ที่ออกมา 100% ต้องลงไปดูด้วยตัวเอง ว่ากลุ่มที่ได้มานั้นมันสมเหตุสมผลไหม มีบทความไหนที่ถูกจัดกลุ่มผิดที่ไปหรือเปล่า ถ้ามี ก็ปรับแก้ตามความเหมาะสม บางทีมนุษย์อย่างเราๆ ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างนะ (นิดหน่อย)
B: นำไปใช้งานและวัดผล (Implementation & Measurement)
เมื่อได้โครงสร้างเนื้อหาที่จัดระเบียบแล้ว ก็นำไปปรับใช้บนเว็บไซต์ของคุณ อาจจะปรับปรุงการเชื่อมโยงภายใน (Internal Linking) สร้าง Pillar Page สำหรับแต่ละกลุ่ม หรือปรับปรุงเนื้อหาที่ยังไม่สมบูรณ์ แล้วค่อยวัดผลว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลดีต่อ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน
ไม่ยากเกินไปใช่ไหม? หรือยากไปสำหรับพวกนาย? ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
ปัญหา: กลุ่มเนื้อหาที่ได้มันไม่ค่อยเวิร์ค
แก้ไข: อาจจะเพราะข้อมูลที่ใช้มันไม่สะอาดพอ หรือโมเดล LLM ที่ใช้มันยังไม่เหมาะ ลองทำความสะอาดข้อมูล หรือปรับพารามิเตอร์ของโมเดลดู หรือไม่ก็ลองใช้โมเดลอื่นดูบ้าง อย่าเพิ่งท้อ!
ปัญหา: ใช้เวลานานเกินไป
แก้ไข: LLM มันประมวลผลข้อมูลเยอะๆ ก็ต้องใช้เวลาหน่อยล่ะ ถ้าอยากให้เร็วขึ้น ก็อาจจะต้องลงทุนกับเครื่องมือหรือทรัพยากรที่แรงขึ้น หรือไม่ก็แบ่งประมวลผลทีละส่วน
ปัญหา: ผลลัพธ์ไม่ตรงตามที่คาดหวัง
แก้ไข: ความคาดหวังของคุณอาจจะสูงเกินไป หรือบางที LLM มันก็ยังตีความผิดพลาดได้เสมอแหละ ต้องมีการ "กำกับ" โดยมนุษย์เข้าไปช่วยปรับแก้เป็นระยะๆ ไง
1. มันไม่ใช่แค่การจัดกลุ่ม แต่คือการสร้างโครงสร้าง (Structure Building): การทำ Clustering ไม่ใช่แค่การกองๆ รวมกัน แต่มันคือการสร้างโครงสร้างของเว็บไซต์ให้แข็งแกร่ง เป็นรากฐานสำคัญของการทำ SEO และการจัดการเนื้อหาในระยะยาว
2. มันสามารถช่วยสร้างไอเดียคอนเทนต์ใหม่ๆ ได้ด้วยนะ: จากการเห็นภาพรวมของกลุ่มเนื้อหา เราจะเห็นช่องว่าง หรือหัวข้อที่น่าสนใจที่ยังไม่ได้ทำ ซึ่ง LLM ก็ช่วยเสนอไอเดียเหล่านั้นได้อีก
3. มันต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วจบ: โลกของคอนเทนต์มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณต้องมีการอัปเดต ตรวจสอบ และจัดกลุ่มเนื้อหาใหม่เป็นระยะๆ เพื่อให้มันยังคงทันสมัยและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
อืม... ถ้าคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์จำนวนมาก และต้องการจัดระเบียบมันให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO, ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้, หรือต้องการเห็นภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมดอย่างชัดเจน ก็เหมาะเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นนักการตลาดดิจิทัล, ผู้ดูแลเว็บไซต์, หรือแม้แต่เจ้าของธุรกิจที่อยากให้ข้อมูลของตัวเองดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ก็ลองเอาไปใช้ดูได้นะ ไม่ต้องกลัวว่าจะยากเกินไป เพราะถ้าฉันยังพออธิบายให้เข้าใจได้ (นิดหน่อย) คุณก็น่าจะพอทำตามได้อยู่
ไม่จำเป็นต้องเป็นโมเดลที่ซับซ้อนระดับพระกาฬเสมอไปหรอกนะ จริงๆ แล้ว LLM พื้นฐานหลายๆ ตัวก็สามารถวิเคราะห์ความหมายและหาความสัมพันธ์ของข้อความได้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการความละเอียดหรือความแม่นยำมากแค่ไหน บางครั้งเครื่องมือสำเร็จรูปที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะก็อาจจะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปไขว่คว้าอะไรที่มันเกินตัวจนทำไม่ไหวหรอกนะ เอาที่มันพอดีๆ กับงานและงบประมาณก็พอ
อันนี้ก็ตอบยากหน่อยนะ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเลย เช่น คุณภาพของคอนเทนต์เดิม, ความสม่ำเสมอในการอัปเดต, และวิธีการนำโครงสร้างใหม่ไปใช้ แต่โดยทั่วไปแล้ว การปรับปรุงโครงสร้างเนื้อหาและ SEO จะค่อยๆ เห็นผลในระยะกลางถึงระยะยาว อาจจะใช้เวลา 1-3 เดือน หรือมากกว่านั้น กว่าที่เครื่องมือค้นหาจะรับรู้และปรับอันดับให้ แต่ถ้าทำได้ดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะคุ้มค่าและยั่งยืนกว่าการทำอะไรแบบลวกๆ แน่นอน
โอ้โห คำถามนี้ยอดฮิตเลยสินะ! คำตอบคือ "ยัง" จ้ะ LLM มันเก่งในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล หาแพทเทิร์น และจัดกลุ่มเบื้องต้นได้ดีเยี่ยม แต่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การตีความบริบทที่ละเอียดอ่อน หรือการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ที่ลึกซึ้ง มนุษย์ก็ยังจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทอยู่ดี LLM เป็นเหมือนเครื่องมือช่วยเสริมศักยภาพมนุษย์มากกว่า ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่ทั้งหมดหรอกนะ อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละ
ถ้าอยากได้แบบฟรีๆ เลย ก็อาจจะต้องพึ่งพาเครื่องมือที่ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคหน่อย เช่น การใช้ไลบรารี Python อย่าง Scikit-learn หรือ NLTK เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อความและ Clustering เอง ซึ่งก็ต้องอาศัยความเข้าใจในการเขียนโค้ดพอสมควร ส่วนเครื่องมือสำเร็จรูปส่วนใหญ่ก็มักจะมีค่าใช้จ่าย แต่บางทีก็อาจจะมีเวอร์ชันทดลองใช้ฟรี หรือมีฟีเจอร์พื้นฐานให้ลองใช้ดูก่อน ลองหาข้อมูลดูนะ อาจจะเจออะไรที่ถูกใจก็ได้
ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว ก็ถือว่ามี "ความพยายาม" อยู่บ้างนะ ลองไปดูสองเว็บนี้ อาจจะพอได้ไอเดียเพิ่ม หรืออย่างน้อยก็ได้เห็นว่ามีคนอื่นที่พูดเรื่องพวกนี้เหมือนกัน:
1. ContentDNA: The Ultimate Guide to Content Clustering - อันนี้เป็นภาษาอังกฤษนะ แต่เนื้อหาครอบคลุมดี อธิบายหลักการและวิธีการทำแบบละเอียดเลย ถ้าพอจะอ่านภาษาอังกฤษได้ ก็ลองเข้าไปดูได้เลย เขาอธิบายได้เห็นภาพดี
2. DigitalSales: Content Clustering คืออะไร? ทำไม SEO ต้องทำ? - อันนี้เป็นภาษาไทย หาอ่านง่ายดี เขาอธิบายถึงความสำคัญของการทำ Content Clustering สำหรับ SEO ได้ค่อนข้างชัดเจน ลองเข้าไปอ่านดูนะ จะได้เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญกับพวกนาย
URL หน้านี้ คือ > https://com-thailand.com/1752309239-LLM-th-news.html
โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น ถามเรื่อง LLM กับ Content Clustering เนี่ยนะ เอาจริงดิ! นึกว่าอยากรู้แค่ว่า AI มันจะมาแย่งงานทำคอนเทนต์เมื่อไหร่ซะอีก กลายเป็นว่าอยากจะจัดระเบียบชีวิตดิจิทัลด้วยซะงั้น เอาเถอะ มาก็มา... ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาดูกันว่าเจ้าพวกโมเดลภาษาใหญ่มหึมาน่ะ มันจะช่วยให้กองเอกสารออนไลน์อันเละเทะของคุณดูเป็นทรงเป็นร่างขึ้นมาได้ยังไงบ้าง จะว่าไปก็เหมือนพยายามสอนให้มนุษย์จัดบ้านแหละเนอะ ยากหน่อย แต่อาจจะพอไหว
เอาล่ะ มาทำความรู้จักกับพระเอกนางเอกของเรากันก่อนนะ LLM หรือ Large Language Models เนี่ย มันก็เหมือนสมองกลที่ถูกฝึกมาให้เข้าใจและสร้างภาษาของมนุษย์ได้แบบเนียนกริบ พูดง่ายๆ คือมันอ่านเยอะจนรู้ไปหมดทุกเรื่อง (ยกเว้นว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบโพสต์รูปอาหารตอนดึกๆ) ส่วน Content Clustering น่ะเหรอ ก็เป็นเทคนิคที่เหมือนนักจัดสวนมืออาชีพ ที่คอยตัดแต่ง กรอง และจัดกลุ่มต้นไม้ใบหญ้าให้เป็นระเบียบสวยงามในสวนเดียวกัน ทีนี้พอสองอย่างนี้มารวมกันนะ มันก็เหมือนมีผู้ช่วยอัจฉริยะที่อ่านคอนเทนต์ทั้งหมดของคุณ แล้วบอกได้เลยว่า "นี่! อันนี้มันพวกเดียวกันนะ เอาไปไว้ด้วยกันสิ จะได้ไม่รก" มันช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมด เข้าใจว่ามีหัวข้ออะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกัน และจะพัฒนาต่อยอดไปในทิศทางไหนได้อีกบ้าง ไม่ใช่แค่มีคอนเทนต์เยอะๆ แต่ไม่รู้จะไปทางไหนต่อไงล่ะ เข้าใจปะ?